Tuesday, March 9, 2021

Brand แบบ Normal Guy กำลังมา? กรณีศึกษา: พระมหาเทวีเจ้า

Brand แบบ Normal Guy กำลังมา? กรณีศึกษา: พระมหาเทวีเจ้า

 นาทีนี้ คิดว่าไม่น่าจะมีชาวโซเชียลคนไหน ไม่รู้จัก "พระมหาเทวีเจ้า" หรือ "หญิงลี" เจ้าของเพจ VEEN ผู้ซึ่งได้รับการอวยยศ (ด้วยตัวเอง) ว่าเป็นพระมหาเทวีเจ้าแห่งเมืองทิพย์ ถึงขนาดมีปรากฏการณ์ "หัวลำโพงแตก" เพราะชาวเยาวรุ่นเมืองทิพย์แห่แหนกันมาเฝ้ารับการมาเยือนของพระมหาเทวี ที่เสด็จโดยรถไฟมาจากปัตตานี ถึงหัวลำโพงในวันหนึ่ง ไหนจะปรากฏการณ์พารากอนแตก เพราะการไปปรากฏตัวของพระมหาเทวีเจ้าในวันนั้น 

------------------------------------------------------------

.....ความยิ่งใหญ่แบบไม่ได้จัดตั้งเหล่านั้น เกิดจากอะไร ถ้ามองจากมุมมองของเรื่อง Storytelling และการสร้าง Brand??

------------------------------------------------------------

ย้อนกลับไปไม่นานนี้ เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นคลิปของ "หญิงลี" พระมหาเทวีไปหนีบผมที่ร้านทำผม รวมถึงการขี่รถจักรยานยนต์ไปโน่นมานี่ เดินป่า ถือจอบเสียม ฟันก้านต้นบอนเอามาแกงกับปลาช่อนที่หน้าบ้านชั้นเดียวริมทางที่ต่างจังหวัด การแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงขาสั้น ผิวสีแทน (แทนมากแทนน้อยก็แล้วแต่ส่วน) การพูดจาตรงไปตรงมา ใช้คำราชาศัพท์ปะปนกับคำธรรมดา พูดง่ายๆคือ ทุกอย่างที่ถูกนำเสนออกมานั้น มีความแสนธรรมดาอยู่ทั้งหมดครับ ทุกสิ่งรวมเป็นเนื้อเดียวกันที่สื่อสาร "ความธรรมดา" ดังกล่าว ออกมาผ่านโลกโซเชียลทั้งทางเพจ และการแชร์ของผู้คน 

ถ้ามองในเรื่องการเล่าเรื่อง ทุกองค์ประกอบที่อยู่ในนี้ ทั้ง 5Ps ไม่ว่าจะเป็น 

People: ตัวหญิงลีเอง การแต่งตัว หน้าตา รูปร่าง ผิวพรรณ รวมถึงผู้คนรอบข้าง

Place: บ้าน สถานที่ ถนน ป่า หญ้า บึงน้ำ ครัวหน้าบ้าน 

Plot: ขีวิตประจำวัน การไปร้านทำผม ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน แกงบอนกินกับปลาช่อนที่หามาจากนา

Point: ประเด็นที่พูดถึงในแต่ละคลิป ไม่มีอะไรซับซ้อน เข้าใจยาก ตรงไปตรงมา ง่าย ไม่ต้องแปล

Perspective: คิดอะไรก็ว่าไปแบบนั้น มองโลกอย่างคนธรรมดาคนนึงมอง ไม่ต้องวิชาการ ไม่ประดิษฐ์

องค์ประกอบในการเล่าเรื่อง (Storytelling) ทั้งหมดนั้น ทำให้เกิด Brand Archetype หรือบุคลิกของแบรนด์ทั้งหลักและรองขึ้นมาพร้อมๆกัน นั่นคือ Normal Guy (คนธรรมดา) และ Jester (ผู้สร้างเสียงหัวเราะ) จนเหมือนว่าจะเป็น "สูตรสำเร็จ" สำหรับการสร้าง Brand จากตัวบุคคลไปแล้วในเวลานี้ 

-----------------------------------------------------------

Normal Guy Archetype ลักษณะบุคลิกภาพของแบรนด์แบบคนธรรมดา คือทั้งหมดที่ถูกสื่อสารออกมาผ่านทุกองค์ประกอบการเล่าเรื่องของ "พระมหาเทวีเจ้า" ลักษณะบุคลิกภาพแบรนด์แบบนี้ ทำให้เกิดการเข้าถึงได้ไม่ยากจากบุคคลทั่วไป มีความถ่อมตน เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ต้องการยอมรับจากผู้คน พูดจาภาษาธรรมดา คิดพูดตรงไปตรงมา ไม่ประดิดประดอยให้ต้องเข้าใจยาก ลักษณะบุคลิกแบรนด์แบบ Normal Guy มีข้อดีที่เห็นชัดเจนมากคือ ผู้คนไม่ต้อง "ทลายกำแพง" เพื่อเข้าไปหาแบรนด์ครับ แบรนด์สามารถสร้าง Engagement ได้ง่าย เพราะคน "กล้า" ที่จะเข้าไปหาแบรนด์ อีกทั้งยังสามารถทำให้เกิด Target Audience ได้ในวงกว้างอีกด้วยครับ ข้อจำกัดของลักษณะบุคลิกแบรนด์แบบนี้ อาจจะเป็นเรื่องของราคา หรือรายได้ที่อาจจะต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาขึ้นไปครับ เพราะเนื่องจาก Brand มีการเล่าเรื่องให้เข้าถึงง่าย เป็้น "คนธรรมดา" จึงอาจจะไม่สามารถนำเสนอสิ่งที่เป็น Niche Market ได้มากนัก 

----------------------------------------------------------

Jester คืออีกบุคลิกแบรนด์หนึ่งที่อยู่ใน "พระมหาเทวีเจ้า" นั่นคือ ผู้สร้างเสียงหัวเราะ สร้างความบันเทิงให้แก่ผู้คน อยากให้มีสีสัน จึงสร้างสีสันนั้นขึ้น ผ่านการกระทำ การพูดจา รวมถึงบทสนทนาต่างๆ (แบบธรรมชาติอย่างที่กล่าวไปนะครับ) ซึ่งบุคลิกแบรนด์ลักษณะนี้ ก็ยิ่งส่งเสริมให้ความเป็น Normal Guy ชัดเจนขึ้น เพราะแน่นอนว่า เมื่อมีการสร้าางเสียงหัวเราะได้ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนกล้าที่จะเดินเข้าหาแบรนด์ และไปมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้อย่างสนิทใจขึ้นด้วยครับ เรียกว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็เข้าไปหาแบรนด์ได้ (Brand ลักษณะนี้ มักจะง่ายต่อการคิดถึงก่อนแบรนด์อื่นๆ ในหมวดเดียวกัน เช่น McDonald's หรือ Coke เพราะนำเสนอ "ความสุข" ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ) 

-----------------------------------------------------------

แต่การผสานกันระหว่าง Normal Guy และ Jester ไม่ได้เกิดที่ "พระมหาเทวีเจ้า" คนเดียวนะครับ หากแต่ Combination นี้ เกิดมาระยะนึงแล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นสูตรสำเร็จระดับนึงในการปั้น "แบรนด์บุคคล" ให้มีความดังเปรี้ยงได้ไม่ยาก ยกตัวอย่างเช่น หนูรัตน์ พิมรี่พาย แอนนา-พี่จี้ หรือแม้กระทั่ง ศิตางค์ บัวทอง รวมถึงเพจเฟซบุคอย่าง "ไดโนเศร้า" ก็เป็น Combination นี้เช่นเดียวกันครับ 

เอาเป็นว่า ใครที่อยากลองสร้างความเปรี้ยงปังแบบดีๆ เหมือนพระมหาเทวีเจ้า ก็ลองหยิบจับ Brand Archetypes คู่นี้มาเจอกันดูดีมั้ยครับ ไม่แน่ว่าสูตรสำเร็จนี้อาจจะใช้ได้กับคุณด้วยเหมือนกันครับผม 

----------------------------------------------

อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์
PRACT - Presentation Academy Thailand
www.presentation-academy-thailand.com
www.facebook.com/powerpoint100lemgwean

Saturday, January 9, 2021

พิมรี่พาย Go Viral: เมื่อ"คน"ก้าวมาเป็น Branding


 พิมรี่พาย Go Viral: เมื่อ"คน"ก้าวมาเป็น Branding 


        นาทีนี้ไม่น่าจะมีใครที่ไม่รู้จักหญิงสาวที่ชื่อว่า พิมรี่พาย นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Viral ที่เกิดขึ้นในวงสังคม ที่พิมรี่พายขึ้นไปยังหมู่บ้านบนดอยที่เชียงใหม่ ห่างไกลจากตัวเมืองไปอีก 300 กิโลเมตร ไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง โดยเธอได้เนรมิตแผงโซล่าเซล เพื่อผลิตไฟฟ้าให้กับหมู่บ้าน โทรทัศน์เครื่องแรกของหมู่บ้านที่จะนำไปพร้อมกับ "ความฝัน" ของเด็กๆในหมู่บ้านที่ไม่มี "โอกาส" ให้เด็กคนไหนได้เรียนจบมัธยมต้นเลย อีกทั้งยังทำแปลงปลูกผักเพื่อให้คนในหมู่บ้านได้ใช้สอย เรียนรู้ สร้างโภชนาการที่มากกว่าการตำพริกกับเกลือแล้วกินกับข้าว ด้วยงบประมาณส่วนตัวเพียง 550,000 บาท โดยประมาณ 


"พิมรี่พาย" ในพื้นที่ของผู้คน 

ถ้าย้อนกันกลับไป พิมริ่พาย เริ่มต้น "ตัวตน" จากการเป็นแม่ค้าออนไลน์ปากจัดที่ขายไปด่าไป ไลฟ์สดบ่อยๆผ่านทางหน้าเฟซบุคแฟนเพจ ชนิดที่เรียกว่าต่อให้คนไม่ได้ซื้อหาสินค้าจากเธอ คนก็ยังเข้าไปดูไลฟ์สดของเธอเพราะความ "แตกต่าง" จากแม่ค้าสายสุภาพคนอื่นๆ สิ่งนั้นขยับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับยอดขาย รายรับของพิมรี่พายเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิด "ตัวตน" ของพิมรี่พายที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆโดยลำดับ 

จากการไลฟ์สดผ่านโทรศัพท์มือถือ กลายมาเป็นการไลฟ์สดที่เริ่มมีทีมงานเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น จนกลายมาเป็นช่องทางยูทูปที่มีคนติดตามรายการ "พิมรี่พาย" มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Character ความแซ่บซี้ดของแม่ค้าออนไลน์คนนี้ ก็ไม่ได้มีท่าทียิ่งหย่อนลงไปเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม สินค้าที่ปรากฏขึ้นในการไลฟ์สดกลับมีมากมายหลากหลายขึ้น ตั้งแต่เครื่องสำอาง อุปกรณ์แต่งหน้า ไปจนพริกทอดกรอบ 

หลังจากที่ Character ความ "แรง" ของพิมรี่พายกลายเป็นที่กล่าวถึงกันในหลายๆวงการ พิมรี่พาย ได้สร้างอีก "ตัวตน" หนึ่งที่สร้างความอ้าปากค้างได้ในทุก Episode ที่มีการนำเสนอออกผ่านสื่อออนไลน์ นั่นคือ Character แห่งความเป็น "แม่พระ" ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากในสังคม ทั้งช่วยเหมาสินค้า ช่วยเหลือคนที่มีธุรกิจอยู่ในระดับรากหญ้า การเหมาะร้านอาหารเพื่อให้ผู้คนได้รับประทานกันฟรีๆ ช่วยเหลือส่งเสียให้คนมีโอกาสได้เข้าถึงการศึกษา จนล่าสุด.....การให้ "ของขวัญวันเด็ก" กับเด็กชาวดอยที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเข้าถึงแม้สาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง "ไฟฟ้า" 

ในเชิง Branding ของ "พิมรี่พาย" 

ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน ผมเชื่ออย่างนึงว่า เราจดจำ "สินค้า" ที่พิมรี่พายขายไม่ได้หรอกครับ แต่เราจดจำ "พิมรี่พาย" ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในส่วนนี้ หากพูดกันถึงเรื่องการสร้าง Character ทางการตลาดแล้ว ตัวตนของพิมรี่พายเอง ได้กลายเป็น "สินค้า" ที่มี Character เฉพาะตัวอย่างชัดเจน ซึ่งลักษณะบุคลิกของแบรนด์ "พิมรี่พาย" ผ่านตัวตนของหญิงสาวสุดแซ่บคนนี้ มีการบ่มเพาะขึ้นและแตกยอดออกมาเป็น 2 Archetypes ที่แตกต่างกัน คือ 

Rebel

Rebel เป็น Character ของตัวละครที่มีการ "ขวางขนบ" ต่างๆ สร้างความแตกต่าง ไม่ตามใคร ไม่ง้อใคร เป็นตัวของตัวเองในขั้นสุดครับ แบรนด์ที่มีการวาง Character ในลักษณะนี้ มักจะมี Concept ที่ต้องการสร้างความแตกต่างอย่างรุนแรง และสุดขั้วจากบริบทเดิมๆที่มีอยู่ (ถ้าใครทำอะไร เราจะไม่ทำ) Character นี้ ถูกนำเสนอผ่าน "ตัวตน" ของพิมรี่พายในฐานะแม่ค้าออนไลน์ครับ การขายอย่างเผ็ดแซ่บ ไม่แคร์ว่าขนบของความเป็นแม่ค้าจะต้องเรียบร้อย พูดเพราะ ให้ "แคร์" คนซื้ออย่างที่เคยเป็นมาครับ ซึ่งลักษณะ Brand Archetype แบบ Rebel นี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำได้ จากความ "แตกต่าง อย่างสุดขั้ว" นั่นเองครับ

Hero

อีกหนึ่ง Character ที่ตามมาจากการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากของพิมรี่พาย นั่นคือ Brand Archetype แบบ Hero ครับ ความเป็นวีรบุรุษที่ Brand จะทำหน้าที่ไป "ช่วยเหลือ" ผู้ที่มีความต้องการในวันยากลำบากได้จริงๆ ลักษณะ Brand Archetype นี้ถูกแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในสภาวการณ์ยากลำบาก พิมรี่พาย เข้าไปสร้างความมีจากความไม่มีนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาส เงิน หรือแม้กระทั่งต่อเติมความฝันที่ไม่เคยมีให้กับคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างที่เห็นกันครับ 

ทำไม Brand ต้องมี Character เดียว 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ "พิมรี่พาย" เป็น Branding ที่น่าสนใจมากแบรนด์หนึ่งในเชิงการเล่าเรื่องครับ พิมรี่พาย ทำให้เราเห็นว่า Brand ไม่จำเป็นต้องเป็น Product หรือ สินค้าเท่านั้น หากแค่ Brand ก็สามารถเป็น "ตัวตน" หรือคนคนนึงได้เช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น การสร้างความจดจำ และสร้างความประทับใจใน Brand นั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีเพียง 1 Brand Archetype ก็ได้ครับ Brand อาจจะมีการสร้าง Character ได้มากกว่า 1 บุคลิก เพื่อทำให้เกิดประโยชน์หลายๆอย่างต่อ Brand ตามมา นอกเหนือจากความจดจำได้ แต่ยังเกิดความผูกพัน ความรู้สึกดี และการอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Brand นั้นๆ ตามมาได้ด้วยแหละครับ 

ผมเชื่อว่าจากวันแรกที่ "พิมรี่พาย" ได้ไลฟ์สดขายสินค้าด้วยความแซ่บ รุนแรง แบบนั้น มีหลายๆท่านที่ตั้งแง่ มีอคติ หรือ "ไม่พอใจ" กับสิ่งที่เธอได้ทำในวันก่อน แต่ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าหลายๆท่าน "เปลี่ยนใจ" และรัก Brand พิมรี่พาย มากขึ้น จนอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุน Brand พิมรี่พาย ต่อไปอีกในอนาคต และยิ่งไปกว่านั้น จากการสร้าง Brand Archetype ที่เกิดขึ้น "ภาพจำ" ของ Brand พิมรี่พาย ก็ประทับลงไปชัดเจนมากยิ่งขึ้นในความทรงจำของผู้คน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนถามว่า "พิมรี่พาย" เป็นใคร ผมเชื่อแน่ว่า ผู้คนก็จะกล่าวถึงทั้งความเป็น Rebel และความเป็น Hero ของแบรนด์ครับ 

นับถือใน "หัวใจของ Brand" นี้ จริงๆครับผม 
---------------------------------------------------------------------
อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์ 
www.presentation-academy-thailand.com 
www.facebook.com/powerpoint100lemgwean 


Friday, November 27, 2020

ป้าอ่อน ซอยก๊วน: พลังของความ "ธรรมดา" ที่ถูกหยิบมาเป็น Branding


 ป้าอ่อน ซอยก๊วน: พลังของความ "ธรรมดา" ที่ถูกหยิบมาเป็น Branding 

ซ่อนตัวอยู่หลังศาลเจ้า ในซอยซับซ้อนชนิดที่เรียกว่ารถวิ่งสวนกันยังลำบาก บ้านไม้สองชั้นธรรมดาทาสีเขียวพาสเทลยืนตัวอยู่เงียบๆ ไม่โหวกเหวกโวยวายหลังลานกว้างที่จอดรถได้ประมาณ 7 - 8 คัน ป้ายห้อยธรรมดาเขียนว่า "ร้านป้าอ่อน ซอยก๊วน" ใครจะไปคิด ว่าบางเสาร์อาทิตย์ คนก็ยังยอมยืนรอตากแดดกันอยู่ที่ลานกว้างนั้นเพื่อจะ"รอ" ลิ้มรสอาหารธรรมดาในร้านบ้านไม้หลังนี้ 

ร้าน "ป้าอ่อน ซอยก๊วน" บ้านไม้สองชั้นแบบธรรมดา

ร้านป้าอ่อนร้านนี้ จัดว่าเป็นร้านอาหารตามสั่งก็ว่าได้ครับ มีเมนูให้เลือกอยู่ 1 กระดาษเอสี่เคลือบพลาสติกใส เดินเข้าไปโต๊ะก็เรียงรายอย่างไม่เป็น Pattern เท่าไหร่อยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ทั้งในตัวบ้าน และเลยเถิดออกมาหน้าบ้านบ้าง เก้าอี้ ตั่งไม้ สุดแต่จะหาได้ในบ้าน "ธรรมดา" หลังหนึ่ง อาหารมากหน้าหลายตาเสริฟมาในจานอย่างไม่ประดับประดาตกแต่งอะไร อาหารทั้งราดข้าว ทั้งเป็นกับ วางโปะบนกันและกันมาอย่าง "ง่ายๆ" ช้อนส้อมคู่หนึ่งก็วางอยู่ในนั้น เรียกว่า เสิร์ฟความ "ธรรมดา" ในบรรยากาศแบบ บ้าน จริงๆครับ 

แต่ความธรรมดาที่ผมพูดถึงนี้เอง กลายเป็น Brand Personality ของร้านป้าอ่อนไปอย่างอัตโนมัติ เมื่อผู้คนมีความต้องการแสวงหาอะไรที่ "บ้านๆ" แต่เต็มด้วยความสดของวัตถุดิบ เสิร์ฟมาในจานแบบไม่ประดิดประดอย ไม่มีพิธีรีตองอะไรให้วุ่นวายใจ ทุกอย่างดูเรียบง่าย และแสนจะธรรมดา กับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครต่อใครต้องลองมาลิ้มรสชาติความ "ถึงเครื่อง" แบบธรรมดากันที่ร้านป้าอ่อนที่อย่างไม่ขาดสาย 

Brand Personality ไม่จำเป็นต้อง "หวือหวา" เสมอไปครับ หนึ่งในลักษณะบุคลิกของ Brand คือลักษณะที่เรียกว่า Normal Guy ครับ ลักษณะ Brand แบบ Normal Guy นี้ จะเป็นการสร้างตัวตนของแบรนด์ในลักษณะของความ "ธรรมดา" สามัญ กินง่าย อยู่ง่าย เข้าถึงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไร จริงใจเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญคือ แบรนด์จะมีลักษณะถ่อมตัวถ่อมตน จนกลายเป็นเสน่ห์ได้ครับ ความ "ธรรมดา" จากบุคลิกของ Brand จะถูกสื่อสารออกมาในทุกส่วนครับ ตั้งแต่ Touch Point และ Environment (บรรยากาศในร้าน ร้านค้า จุดที่ผู้บริโภคจะเข้าถึง) รวมไปถึง Product ของแบรนด์ (ในที่นี้คือ ความจริงใจของวัตถุดิบ ความสด ความไม่ประดิดประดอยจานเสิร์ฟ) Packaging (ภาชนะที่ใช้) ซึ่งทุกอย่างดู "ธรรมดา" ไปด้วยกันทั้งหมดครับ 

ความไปด้วยกันนี้ หรือที่เราเรียกกันว่า Consistency จะเป็นสิ่งที่ทำให้ Brand Personality แห่งความธรรมดานี้ "มีพลัง" ขึ้นมาได้อีกด้วยครับ ลูกค้าที่เข้ามาสัมผัสความธรรมดาจะสัมผัสควาสดใหม่ และความ "ไม่กั๊ก" วัตถุดิบได้อย่างจริงใจครับ ทำให้ ความธรรมดานี้เอง พาร้าน "ป้าอ่อน" มาสู่โลกโซเชียล และมีผู้สนใจไปสัมผัสความธรรมดานี้กันอย่างต่อเนื่อง จนบางเสาร์อาทิตย์ คนก็ล้นออกมาด้านหน้าเลยทีเดียวครับ 

กะเพรากั้งราดข้าว ธรรมดา

กะเพราะกุ้งราดข้าว
แกงป่ากุ้ง

ผมเองก็เป็นคนนึงที่หลงรัก Brand Personality แห่งความ "ธรรมดา" แบบนี้ครับ เลยต้องแวะเวียนมาสัมผัสรสชาติแห่งความธรรมดา ถึงร้าน "ป้าอ่อน ซอยก๊วน" อ.เมือง จ.ชลบุรี ครับ ถ้าคุณเองก็เป็นคนนึงที่อยากลองออกจากความ "หวือหวา" มารับรสชาติความ "ธรรมดา" แบบถึงเครื่องดูบ้าง แนะนำลองมาซักครั้งครับ รับรองว่า รสสัมผัสแห่งความ "ธรรมดา" นี้แหละครับ ที่จะทำให้คุณ ซี้ดปาก!!! 

---------------------------------------------------------------------------------

อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์ 

www.presentation-academy-thailand.com 

www.facebook.com/powerpoint100lemgwean


Saturday, October 31, 2020

 


Marketing เครื่องรางของขลัง พลังแห่ง "การเล่าเรื่อง" 

เชื่อว่า ....ใครหลายๆคนที่ทำธุรกิจอยู่ ก็คงอยากให้ขายดีแบบเทน้ำเทท่าเป็นธรรมดาครับ พอมาดูสินค้าต่างๆที่มีอยู่ในบ้านเรา ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ใครที่มาจับธุรกิจเครื่องรางของขลัง ก็มีโอกาสปังไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งหลายๆคนก็มองว่า "ของมันขายได้อยู่แล้ว" หรือ "มันถูกจริตคนไทย" ฯลฯ แต่....เชื่อมั้ยครับว่า ไม่ว่าธุรกิจอะไรก็ตาม ก็ปังไม่แพ้กับเครื่องรางได้เช่นกัน แค่รู้ความลับของ "การเล่าเรื่อง" ที่วันนี้จะเอามาเล่าให้ฟังครับ 

ก่อนอื่น เรามาฟังกันก่อน ว่าทำไมต้อง "การเล่าเรื่อง" 

เรื่องเล่าเป็นส่วนนึงของชีวิตมนุษย์มานานแล้วครับ จนกระทั่งมันแทรกซึมมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เรามักจะจำได้ดีกว่า อินกว่า เข้าใจกว่า ถ้าเราถ่ายทอดอย่างมีศิลปะ และเรื่องเล่าก็มักจะถูกหยิบขึ้นมาเพื่อทำให้คนอยากรู้ต่อ อยากเข้าใจต่อครับ แต่ว่า....วันนี้ ไม่ได้ให้ไปแต่งเรื่องนะครับ วันนี้จะมาเล่าให้ฟังว่า ถ้ามองจากมุม"การเล่าเรื่อง" ทำไมเครื่องรางของขลังถึงขายดี 

ในทุกเรื่องเล่า มักจะมี Conflict หรือว่า "ความขัดแย้ง" อยู่ด้วยเสมอครับ ถ้าไม่มี มันจะไม่มีเรื่องเล่าครับ ซึ่งลักษณะของ Conflict นั้น ก็สามารถแยกย่อยออกได้เป็น 5 ประเภทดังนี้ครับผม 

1. แบบ Man Against Man 

ตัวเรา ขัดแย้งกับ คนอื่นๆ ในที่นี้ความขัดแย้งไม่ได้หมายความว่าให้มีเรื่องกันนะครับ มันอาจจะหมายถึง การแข่งขัน ทำให้เราดีกว่า เก่งกว่า ทำได้ถูกต้องกว่า เรียกว่า "ชนะ" คนอื่นในทางใดทางหนึ่งครับ ซึ่งความขัดแย้งแนวๆนี้ ก็นำไปสู่เรื่องของ การฝึกฝน หรือการพยายามอะไรบางอย่าง ที่จะทำให้คนคนนึง ชนะคู่แข่งได้ในที่สุดครับ 

2. แบบ Man Against Himself 

ความขัดแย้งแบบนี้ เป็นความขัดแย้งระหว่างตัวคนคนนึง กับตัวเค้าเองครับ ซึ่งอาจจะเป็นปัจจุบัน หรืออดีตก็ได้ครับ เช่นสมมติว่า ตำรวจต้องจับลูกตัวเอง ก็มีความขัดแย้งภายในตัวเองระหว่างภาระหน้าที่ และความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือแม้กระทั่ง คนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษอยากจะได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศ ก็ต้องมีความขัดแย้งระหว่างคนคนนั้นกับตัวเอง เกิดขึ้นครับ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่เรื่องของการพยายาม การเลือก การตัดใจ แม้กระทั่งความเสียใจในการต้องเลือกทางนึง ทิ้งทางนึงครับ 

3. แบบ Man Against Society 

ความขัดแย้งแบบคนเดียวกับคนหมู่มาก หรือคนกับสังคมครับ ความขัดแย้งแบบนี้พบบ่อยมาก เวลาคนคนนึงพยายามจะทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี ทำอะไรใหม่ๆ ก็ย่อมไมไ่ด้รับการยอมรับในเบื้องต้นเป็นธรรมดาครับ สิ่งนี้ก็ต้องนำไปสู่การพิสูจน์ตัวตน ความพยายาม (อีกแล้ว) จนกระทั่งสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับครับ  หรือ ถ้ามองคร่าวๆก็เกิดขึ้นได้ในหนังประเภทวิ่งหนี่ซอมบี้ ก็ได้ครับ มนุษย์ผู้ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ก็ใช่ความขัดแย้งประเภทนี้ครับ 

4. แบบ Man Against Nature 

ความขัดแย้งที่ดูยิ่งใหญ่ระหว่าง มนูษย์กับธรรมชาติ ส่วนมากพบตามภาพยนตร์ที่เป็นภัยพิบัติต่างๆครับ ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราต้องพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้ ส่วนมากแล้วมักจะนำไปสู่ ปฏิภาณ ไหวพริบ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีครับ ในเชิงการคลาดแล้ว เรามักจะพบกับธุรกิจ "เครื่องสำอาง" ครับ ที่สามารถต่อสู้ "ริ้วรอยแห่งวัย" ได้ครับ (เพราะมันคือร่องรอยแห่งธรรมชาติเหมือนกัน)

5. แบบ Man Against Fate 

อันนี้แหละ เป็นอันสุดท้ายที่ไม่สามารถแก้ไขได้เลยไม่ว่าด้วยอะไรก็ตาม ความพยายามก็ไม่ช่วย เพราะมันเป็นความขัดแย้งระหว่าง มนุษย์ และโชคชะตา ครับ เพราะเราไม่สามารถมองเห็นโชคชะตาใดๆได้ครับ แต่เรามักจะพบกว่า สิ่งที่เราอยากได้จะไม่ได้ หรือสิ่งที่เราไม่อยากได้มักจะมาหาเรา สิ่งเหล่านี้คือโชคชะตาครับ ความพยายามก็อาจจะไม่ตอบโจทย์ในส่วนนี้ ดังภาษิตที่ว่า "แข่งเรือแข่งพายอ่ะแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้"

เครื่องรางของขลัง พลังแห่ง Conflict 

เครื่องรางและของขลัง เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ Conflict สุดท้ายเลยครับ Man Against Fate เพราะว่า ความพยายามอาจจะไม่ใช่คำตอบของหลายๆอย่าง เครื่องรางจึงใช้ช่องว่างนี้ ทำให้เกิด Marketing ได้อย่างปังๆ เพราะเครื่องรางเหล่านั้นถูกนำเสนอให้เป็น "ตัวช่วย" มนุษย์ที่จะสามารถเอาชนะ Conflict แบบ Man Against Fate ได้ในที่สุด ซึ่งมนุษย์ก็เชื่อแบบนั้นครับ และผลก็อาจจะต้องรอการพิสูจน์ดิวยการเช่าบูชาต่างๆครับ (จะได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่สินค้าก็มีการวางมาแล้วว่าจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วย ให้มนุษย์เอาชนะ Conflict ได้มากกว่าคนที่ไม่มีสินค้านี้ครับ) 

แล้วสินค้าอื่นๆจะเริ่มแบบนี้ได้มั้ย 

ได้ครับ ถ้าอยากเริ่มทำการตลาดไม่ว่าสินค้าอะไร ลองถามใจตัวเองก่อนว่า สินค้าที่เรามี และที่เราจะขายนั้น ตอบ Conflict ไหนได้บ้าง ซึ่งถ้าลองดูแล้วสามารถตอบ Conflict ได้ ก็สามารถหยิบตรงนั้นขึ้นมาเป็นตัวตั้งต้นของเรื่องเล่าได้เลยครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ลูกค้าที่ใช้สินค้านี้ ก็จะสามารถ "เอาชนะ" Conflict บางอย่างได้ในชีวิต โดยมีสินค้าของเราเป็นตัวช่วยครับ รับรองว่า ปังได้ไม่ยากครับ 

สำหรับใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจ ลองเริ่มด้วยวิธีนี้ดูก็ได้นะครับ ไม่แน่ว่า เจ้าสัวคนใหม่อาจจะเป็นคุณที่เริ่มต้นจากเรื่อง Conflict เล็กๆก็ได้นะครับ 

-------------------------------------------------------------------------------------

อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์ 

www.presentation-academy-thailand.com

www.facebook.com/powerpoint100lemgwean


Thursday, October 8, 2020


 6 เคล็ดลับ ไม่ต้องไปอมพระวัดไหน  เล่าอะไร ใครก็เชื่อ

ในการเล่าเรื่อง หรือการนำเสนอ แน่นอนว่าหากพูดไปแล้วคนดูคนฟังไม่เชื่อ หรือข้อมูลที่เตรียมมาไม่น่าเชื่อถือ มันก็คือจบกันครับ แต่....บางครั้ง ถึงแม้ว่าข้อมูลจะจริงมากๆ มีหลักฐานยืนยัน Support ต่างๆ มาเต็ม ความเป็นวิชาการเกินร้อย คนดูคนฟังก็อาจจะยังไม่เชื่อถืออยูดี ในขณะเดียวกัน บางครั้งข้อมูลกลางๆ เล่ากันง่ายๆ คนดูก็เชื่อได้เป็นวรรคเป็นเวร มันเกิดจากอะไรกันนะ 

ในการนำเสนอ ไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือครับ เพราะมันไม่ได้ขึ้นกับ "ข้อมูล" อย่างเดียว แต่มันขึ้นกับ "ตัวคนนำเสนอ" ด้วยเช่นกัน รวมไปถึง "ความสัมพันธ์ระหว่างคนพูดและคนฟัง" ก็เป็นปัจจัยเสริมแรงให้การนำเสนอต่างๆนั้น น่าเชื่อถือมากน้อยได้แค่ไหน 

หนังสือ How to Win Friends and Influence People ได้พูดไว้ถึง 6 วิธี ที่จะทำให้คน "เชื่อถือ" เราได้มากขึ้นด้วยครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ย้ำอีกทีว่าไม่เกี่ยวกับเนื้อหาเลยนะครับ เกี่ยวกับตัวคนเล่าคนพูด และความสัมพันธ์ระหว่างคนพูดกับคนฟังล้วนๆ มีอะไรบ้าง ลองดูกันครับ

1. คนฟังจะเชื่อ ถ้าเค้ารู้สึกว่าเค้าสำคัญ 

เพราะศูนย์กลางของการนำเสนอ หรือการเล่าเรื่อง ไม่ใช่คนพูดครับ หากแต่เป็นคนฟัง ดังนั้น ผู้พูดเองควรต้องเอาใจใส่ผู้ฟัง และทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเค้าเป็นคนสำคัญ เช่น การทักทายผู้ฟังในรายละเอียดที่แสดงถึงความใส่ใจ (เสื้อผ้า หน้า ผม เครื่องประดับ) การไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ (รถติดมั้ย ฝนตกมั้ย) ก็จะทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่า คนพูดนั้น "ใส่ใจ" ครับ 

2. คนฟังจะเชื่อ ถ้าเค้ารู้ว่าฟังแล้วจะได้อะไร 

สุดท้ายแล้ว คนที่มาฟังเรา ก็ไม่ได้มานั่งฟังเฉยๆครับ (แม้บางคนจะโดนบังคับมาก็ตาม) การฉายภาพให้เห็นก่อนว่า หลังจากที่ฟังจบแล้ว หรือเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว สิ่งที่จะเปลี่ยนไป กับคนฟังคืออะไรบ้าง จะได้ความรู้อะไรบ้าง เอาไปทำอะไรได้บ้าง ก็จะทำให้คนฟังอยากจะฟัง และตั้งใจฟังได้มากขึ้นครับ

3. คนฟังจะเชื่อ ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนั้นจริงๆ 

ในสมัยกรีก การศึกษาเรื่องวาทวิทยาได้ระบุไว้ถึง 3 ปัจจัยที่มีผลต่อความน่าเชื่อถือของเรื่องราว หรือเนื้อหาต่างๆ 1 ในนั้นคือ "คนพูดเป็นใคร" (Ethos) ครับ ดังนั้นสำคัญมากก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น การแนะนำตัวของผู้พูดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดความ "มั่นใจ" กับผู้ฟังได้ว่า วันนี้ ผู้ฟังได้มาฟังกับตัวจริง จริงๆ ครับ  แต่....ดาบสองคมของการแนะนำตัวก็คือ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงผลงานทั้งหมดที่มีนะครับ มันจะเป็นการ "ยกตนข่มท่าน" เปล่าๆ เอาเป็นว่า พูดคร่าวๆก็พอ เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในวันนี้ที่ผู้พูดรับผิดชอบอยู่ครับ 

4. คนฟังจะเชื่อ ถ้าเค้าไม่ถูกบังคับ 

การกำหนดให้มีกิจกรรมใดๆ หรือการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ฟังอยากจะมีส่วนร่วม ไม่ควรเป็นการบังคับครับ ควรมีส่วนให้ผู้ฟังได้มีอิสระในการเลือกด้วย เช่น การมี Option ของโจทย์ หรือการร่วม Vote กิจกรรมที่คนฟังสนใจครับ ก็จะทำให้กิจกรรมต่างๆนั้นดูไม่เป็นการบังคับจนเกินไป 

5. คนฟังจะเชื่อ ถ้าคุณมีลักษณะเหมือนเค้า 

ข้อนี้สำคัญมากๆๆๆๆครับ จำได้ว่าเคยเขียนไว้ทีนึง เรื่องของการ "ตกหลุมรัก ในการนำเสนอ" เพราะมนุษย์มักจะชอบคนที่มีลักษณะคล้ายเราครับ ดังนั้น Trick ตรงนี้คือ ทำยังไงก็ได้ ให้คนฟังรู้สึกว่าคุณคือพวกเดียวกันกับเค้าครับ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันในทุกอย่างนะครับ แต่ขอให้มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกัน ก็ใช้ได้แล้วครับ เท่านี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ "ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้" แล้วล่ะครับ 

6. คนฟังจะเชื่อ ถ้าเค้ารักคุณ 

ข้อนี้ เป็นผลพวกสุดท้ายมาจากทั้ง 5 ข้อข้างบนครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณ "สร้างหลุมรัก" ให้คนฟังตกลงมาได้แล้ว ไม่ว่าคุณจะเล่าอะไรต่อไป ก็ได้ทั้งหมดแล้วล่ะครับ 

เพราะการนำเสนอ ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหาเพียงอย่างเดียวครับ คนฟังคือศูนย์กลางของจักรวาลนี้ ดังนั้น คนพูด หรือคนนำเสนอเอง ควรจะต้องทำยังไงก็ได้ ให้คนฟังรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญที่สุด เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณทำทั้ง 6 ข้อนี้ได้ก่อนการนำเสนอ หรือการเล่าเรื่องจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อนั้น คุณก็คุมจักรวาลการนำเสนอนี้ได้แล้วล่ะครับ 

----------------------------------------------------

อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์ 

www.presentation-academy-thailand.com

www.facebook.com/powerpoint100lemgwean

presentationacademythailand@gmail.com 


 พรีเซนท์แทบตาย สุดท้ายเค้าไม่จำ ต้องทำยังไง??

เมื่อเราทำพรีเซนท์ไว้ดีมากๆ เรียงร้อยข้อมูลมาเป็นอย่างดี แต่พอเอาไปนำเสนออีกที คนดูกลับจดจำอะไรไม่ได้เลย เป็นเพราะอะไรกัน??

บางทีมันก็ดูเหมือนจะเสียแรงเปล่าครับ ที่เราอุตส่าห์นั่งทำข้อมูลมาเป็นอย่างดี คิดว่ามันต้องว้าวแน่ๆ ดึงดูดความสนใจแน่ๆ สไลด์มาอย่างคิดแล้วคิดอีก แต่...หนึ่งตัวชี้วัดที่ดูจะมีประโยชน์มากที่สุดตัวนึงก็คือ "แล้วหลังจากเราพรีเซนท์จบแล้ว คนฟังจำสิ่งที่เรานำเสนอไปได้มั้ย" หรือ "เค้าจำได้นานแค่ไหน" อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า การนำเสนอนั้นๆมีความ Effective รึเปล่าวด้วยนะครับ 

สมองคนเรามีความขี้เกียจอยู่ในตัวเอง

ใช่ครับ..... หากว่าคุณเป็นคนนึงที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ อ่านหนังสือแล้วง่วง อยากจะหาทางลัด ทำอะไรให้เสร็จเร็วๆ ฯลฯ นั่นก็คือ คุณมาถูกทางแล้วครับ สมองคนเรามีความขี้เกียจอยู่ในตัวเอง ดังนั้น มันจะส่งผลต่อการ "รับฟัง" การนำเสนอ หรือการพูดด้วยเช่นกัน รวมถึงสมองคนเราก็มีขีดจำกัดอยู่ด้วยในเรื่องของความจำครับ อย่างที่ประโยคในหนัง (เคย) ดัง ประโยคนึงพูดไว้ว่า "....ไม่ลืมไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้าหรือลืมเร็ว แค่นั้น.." 

ในเรื่องความจำ นักจิตวิทยาก็เลยมีการนำเสนอทฤษฎี Cognitive Load Theory (CLT) เพื่อมาทำการอธิบายว่า อะไรกันที่จะทำให้สมองจดจำได้นานขึ้นครับ ซึ่งทฤษฎีนี้ระบุไว้ถึงความสามารถของสมองในสามทิศทาง คือ Intrinsic Load, Extraneous Load, และ Germane Load ครับ (อย่าเพิ่งตกใจ เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง) 

Intrinsic Load - อะไรยากไป ไม่จำ 

ก็อย่างที่บอกไว้ครับ ว่าสมองเรามีความขี้เกียจอยู่ในตัวเอง ดังนั้นอะไรก็ตามที่ "ง่ายกว่า" จะเป็นที่จดจำได้ "มากกว่า" ดังนั้น ในงานนำเสนอ ผู้นำเสนอควรทำการ "ย่อย" ข้อมูลที่มีความซับซ้อนให้ง่ายลง ทำให้เป็นขนาด Bite Size ก็จะช่วยให้เกิดการจดจำที่มากขึ้นครับ ในส่วนนี้ ถ้าเป็นสไลด์ ในหนึ่งหน้าก็ควรจะมีแค่เนื้อหาหลักเรื่องเดียว ไม่ซับซ้อน ไม่เป็นพรืด ก็จะช่วยให้เกิดการจดจำได้มากขึ้นครับ 

Extraneous Load - นำเสนอไม่ดี ไม่จำ 

นอกจากการย่อยข้อมูลแล้ว การนำเสนอที่เหมาะสมและควรค่าแก่การจดจำ ก็ต้องเกิดจากการ "ร้อยเรียง" อย่างเป็นลำดับและติดตามได้ด้วยครับ ด้วยเหตุนี้ การใช้ "เรื่องเล่า" หรือว่า Storytelling เข้ามาช่วยในการนำเสนอ จึงเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญต่อการจดจำครับ มีงานวิจัยพบว่า การนำเสนอโดยเรื่องเล่า จะทำให้คนจำได้มากกว่าการนำเสนอข้อมูลเพียวๆ ถึง 65% ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่ควรนำคือ ย่อยข้อมูลแล้ว ก็ต้องร้อยเรียงให้รู้เรื่องด้วยครับ 

Germane Load - เชื่อมโยงไม่ได้ ไม่จำ 

อีกอันนึงคือ การ Connect the Dots ของผู้ฟังครับ หากข้อมูล เนื้อหาหรือการเล่าเรื่องราวต่างๆในงานนำเสนอนั้น ไม่สามารถถูกเชื่อมโยง เข้ากับประสบการณ์ของผู้ฟังได้ สมองก็จะไม่จำเท่าไหร่ครับ อันนี้เป็นอีกความลับนึงในการนำเสนอครับ หมายความว่า การนำเสนอให้ประสบความสำเร็จนั้น ผู้นำเสนอก็ต้องรู้จักผู้ฟังดีประมาณนึง ที่จะสามารถร้อยเนื้อหานี้ให้เกิดการเชื่อมโยงเข้ากับผู้ฟังได้ด้วยครับผม 

สามส่วนนี้ เป็นความลับของสมองมนุษย์ที่จะทำให้การนำเสนอครั้งต่อไปของทุกคนนั้น สามารถประทับรอยไว้ในสมองของผู้ฟังได้ครับ เมื่อการนำเสนอจบลงไปแล้ว เนื้อหาหรือข้อมูลต่างๆที่เราพยายามทำมาข้ามวีค ข้ามเดือน ก็จะเข้าไปอยู่ในความจำของผู้ฟังได้ครับ อย่างน้อย เค้าก็ได้อะไรกลับบ้านไป หลังจากที่การนำเสนอจบลง ลองเอาไปใช้ดูนะครับ 

--------------------------------------------------------
อ.ดร.ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์ 
www.presentation-academy-thailand.com
www.facebook.com/powerpoint100lemgwean
presentationacademythailand@gmail.com 

Monday, July 27, 2020

ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เท่ แต่ "เสน่ห์" สร้างกันได้


ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เท่ แต่"เสน่ห์"สร้างกันได้

ไม่สวย ไม่หล่อ ไม่เท่ แต่ "เสน่ห์" สร้างกันได้


เชื่อว่า....หลายๆคนน่าจะเคยมีภาพจำว่า การที่คนจะชอบเวลาเรานำเสนอ หรือพูดจาอะไรก็ตาม เรื่อง "หน้าตา" สวยหล่อเท่เป็นสิ่งสำคัญครับ แต่วันนี้ อยากจะบอกว่า มันก็ไม่ขนาดนั้นเสมอไป เราจะเห็นได้บ่อยๆ บางคน สวย หล่อ เท่ แต่ทว่า ไม่เป็นที่น่า "จดจำ" หรือ "ประทับใจ" แล้วเราจะทำยังไงดีมันเป็นแบบนั้น 


สิ่งนี้เรียกว่า "ความมีเสน่ห์" ครับ ความมีเสน่ห์จะทำให้เราเป็นที่น่าประทับใจ น่าจดจำ กว่าความสวย หล่อ หรือเท่ ที่เราเข้าใจกัน อันดับแรกต้องบอกว่า เราก็สามารถสร้าง "เสน่ห์" เหล่านี้ได้เหมือนกันครับ เรียกว่าไม่ต้องพึ่งพาหมอศัลยกรรม ก็สามารถทำเองได้ไม่ยาก ด้วยการฝึกฝน และลองทำบ่อยๆ วันนี้เลยขอหยิบการสร้างเสน่ห์พื้นฐาน 3 ประการ มาให้ทดลองทำกันดูครับ แล้วต่อไป คุณเองจะเป็นที่น่าประทับใจ ทุกครั้งที่คุณพูดเลยล่ะครับ 

1. คนเราชอบคนที่เหมือนตัวเอง 
อันนี้ เป็นหลักการเชิงจิตวิทยาอย่างนึงครับ การสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟัง หรือผู้พบเห็น ประการแรกคือ ต้องเข้าใจก่อนว่า คนเรามักจะชอบคนที่เหมือนตัวเอง ทั้งทัศนคติ การวางตัว ระดับภาษาที่ใช้ ไปถึงท่าทางต่างๆ ดังนั้น การนำเสนอ การพูดจาในที่สาธารณะ (หรือแม้จะไม่สาธารณะ) ผู้พูดควร "สังเกต" ผู้ฟังก่อนครับ ว่าเค้ามีการวางตัว ท่าทาง หรือภาษาที่ใช้ยังไง แล้วลอง "ตาม" สิ่งเหล่านั้น ทั้งการวางท่าทาง ระดับภาษา พูดง่ายๆคือ ลองทำให้ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง อยู่ในระดับใกล้เคียงกันครับ คนฟังจะรู้สึกว่าคุณเป็น "พวกเดียวกัน" กับเขา ความประทับใจเริ่มขึ้นตรงนี้ครับ 

2. แสดงออกถึงความจริงใจทุกครั้ง 
ท่าทาง รอยยิ่ม ต่างๆ สามารถบ่งบอกถึงความจริงใจได้ด้วยนะครับ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือ Action Speaks Louder Than Words อย่างที่ทุกคนรู้ครับ การแสดงออกทางร่างกาย จะเป็นตัวชี้วัดประการหนึ่งว่า คุณจริงใจหรือเปล่า รอยยิ้มที่แสดงออกทางดวงตา มากกว่าริมฝีปาก การผายมือออก การแสดงออกว่าคุณไม่ได้ซ่อนอะไรไว้เบื้องหลัง สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ฟัง ไว้เนื้อเชื่อใจ และไว้วางใจผู้พูดได้ ก่อให้เกิดความ "จดจำได้" ตามมาครับ 

3. การกล่าวชมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
เชื่อมั้ยครับ ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยการกล่าวชมใครซักคนในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น การกล่าวชมสีเสื้อ ต้มหู หรือแม้แต่เนคไท ของอีกฝั่ง คุณจะกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ทันที เพราะคุณ "ใส่ใจ" คู่สนทนาครับ คุณเองก็สามารถเริ่มต้นการสนทนาด้วยสิ่งนี้ได้ และคุณก็จะเข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้ฟัง ตั้งแต่การนำเสนอยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำครับผม ดังนั้น จากตรงนี้ไป เสน่ห์ของคุณก็จะสร้างได้ไม่ยากเลยครับ 

ย้ำอีกครั้งว่า เสน่ห์ ไม่ได้ขึ้นกับความสวยหล่อครับ หลายๆครั้งที่เราพบว่า คนนั้นสวยจัง คนนี้หล่อจัง แต่ไม่น่าจดจำ ไม่น่าประทับใจ เพราะว่า เสน่ห์ คืออีกเรื่องนึงครับ ใครๆก็มีเสน่ห์ได้ ไม่ต้องไปจองคิวศัลยกรรมให้เสียสตางค์ครับผม ลองเอาไปใช้ดูนะครับ แล้วการสนทนาครั้งใหม่ คุณจะ "เข้าไปอยู่ในใจ" คนฟัง ตั้งแต่การนำเสนอยังไม่เริ่มครับ 

----------------------------------------------------------------------------
อาจารย์ ดร. ธีร์ธวัช เจนวัชรรักษ์
presentationacademythailand@gmail.com 
Youtube: powerpoint100lemgwean
Soundcloud: powerpoint100lemgwean