Saturday, April 25, 2020


เหนือกว่า Story: Packaging ที่ดี คือพรีเซนท์เทชั่น

ที่คนตัดสินกันในแว้บแรก

เช้านี้ เชื่อว่าหลายคนเห็นดราม่า ที่เกิดจาก "แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย" ที่มีการทำออกจำหน่าย ในสนนราคา 250 บาทต่อถุงมาแล้วนะครับ ซึ่งก็ลุกลามไปถึงการเหยียดชนชั้น ราคา ความรวย ความจน อะไรแถวนั้น.... แต่ เราจะไม่แวะตรงนั้นครับ เราจะมาแวะที่งานบรรจุภัณฑ์ หรือ Packaging กันก็พอครับ 

เรา "นำเสนอ" กันตลอดเวลาจริงๆนะครับ (มาย้ำอีกครั้งนึง) เพราะงานนำเสนอไม่ใช่แค่ต้องเปิดคอม ทำสไลด์ ฉายโปรเจคเตอร์ ในห้องประชุม การนำเสนอในชีวิตประจำวัน เริ่มกันตั้งแต่เราเลือกจะใส่ชุดอะไร แต่งหน้ามั้ย ทำผมยังไง การก้าวขาข้างแรกออกจากบ้าน นั่นก็คือการนำเสนอแล้วครับ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ และในขณะเดียวกัน เราก็ "มองเห็นการนำเสนอ" อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ผ่านการออกแบบ บรรจุภัณฑ์ โลโก้ สีสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่เราต้อง Work From Home เรายิ่งเปิดรับการนำเสนอผ่าน "รูปภาพ" ต่างๆ ในโลกโซเชียลมากขึ้นเป็นพิเศษ ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่า "ซื้อ" หรือ "ไม่ซื้อ" งานนำเสนอเหล่านั้น 


เราตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อ ทันทีเลยมั้ย?? 



"ไม่ครับ" 
การซื้อ หรือไม่ซื้อนั้น เป็นเรื่องของ Practice (การกระทำ) ครับ ก่อนหน้าที่จะมาถึงตรงนี้ มันมีอีก 2 ตัวที่เราข้ามไปไม่ได้ นั่นคือ Knowledge (ความรู้) และ Attitudes (ทัศนคติ) ครับ ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ เป็นกระบวนการคิดและตัดสินใจของคนทั่วๆไปครับ 

Knowledge ถ้าแปลตรงตัวก็คือความรู้ ซึ่งความรู้ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่อยู่ในหนังสือหนังหา ตำราเรียนนะครับ แต่มันหมายถึง สิ่งที่เรา "เห็นมา" "ได้ยินมา" "สัมผัสมา" "ชิมมา" หรือ "ได้กลิ่นมา" พูดง่ายๆคือ อะไรก็ตามที่เข้ามาสู่ร่างกายเราผ่านทวารทั้ง5 ครับ นั่นคือความรู้ในที่นี้ได้ทั้งหมด เช่น ไปได้ยินมาว่าร้านนี้อร่อย ไปเห็นมาเองว่าส่วนผสมดีมาก ฯลฯ ครับ จากนั้น พอเรา "รับรู้" แล้ว สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ "มันดีมั้ยอ่ะ" หรือว่า ทัศนคติครับ 

ส่วนที่สอง ก่อนที่จะไปหาพฤติกรรม หรือการกระทำ คือ Attitude ครับ ส่วนนี้แหละ จะเป็นการ "ประเมินผล" สิ่งที่เราได้รับรู้มา เห็นมา ได้ยินมา แน่นอนว่า เราใช้การ ไตร่ตรอง และคิด อยู่ในส่วนนี้ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะถามว่า "ซื้อมั้ย" คือ "มันคุ้มมั้ย"  "มันดีกับเรามั้ย"  "มันโอเคมั้ย" ประมาณนี้ครับ ซึ่งในส่วนนี้ เสียงหัวใจจะเป็นตัวบอกว่าเราโอเคหรือไม่โอเค และเราจะทำยังไงกับมัน ซื้อ ไม่ซื้อ เอาไปเล่าให้เพื่อนฟัง บอกแม่ ฟ้องพ่อ อ้อนแฟนให้ซื้อให้ (เอ้า ลืมไปว่าไม่มีแฟน) ถึงขั้นไปกู้มาซื้อ (ในกรณีที่เป็นของใหญ่มากๆครับ) 

หลังจากที่เราประเมินผลจากสิ่งที่เรารับรู้มาแล้ว สิ่งสุดท้ายของห่วงโซ่นี้คือ Practice หรือ การกระทำครับ (เรียกว่าพฤติกรรมก็ได้) ถ้าเราประเมินแล้วพบว่า มันคุ้มค่า มันน่าสนใจ มันน่าจะอร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันก็น่าลองนะ ฯลฯ เราก็จะตัดสินใจซื้อครับ แต่.... ถ้าจากข้อมูลที่เราได้รับมา แล้วเราพบว่า มันแพงไป  มันไม่น่าคุ้ม ซื้อที่อื่นถูกกว่าก็ได้ ทำเองอร่อยกว่า ฯลฯ การตัดสินใจ "ไม่ซื้อ" ก็จะเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นครับ (อาจจะมีฟีดแบคอื่นๆไปหาต้นขั้วเพิ่มเติม ก็อีกเรื่องนึง) 

กลับมาที่ดราม่าของเรากันดีกว่า ในช่วง WFH แบบนี้ แน่นอนว่า เราจะไม่สามารถ ดมกลิ่น ชิม สัมผัส ได้เลยครับ สิ่งที่เข้ามาหาเราอย่างเดียวคือ "ภาพถ่าย" ครับ และในส่วนของอาหารนั้น การสร้างสรรค์ Packaging ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผู้บริโภคเอามาประกอบการตัดสินใจ ว่ามันคุ้มมั้ย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ ว่า Story ที่เล่ามาก็เป็นการประกอบการตัดสินใจส่วนนึง แต่เชื่อม้ยครับว่า "สิ่งที่ตาเห็น มีน้ำหนักมากกว่า สิ่งที่เราได้ยินมา" อันนี้เป็นอีกเหตุผลนึงที่ทำให้ คนจะซื้อหรือไม่ซื้อ ขึ้นกับ "Package" ครับ 


เราไม่มีทางเห็นว่าเค้าเป็นคนดีรึเปล่าได้ในแว้บแรก 
แต่เราเห็นสิ่งที่เค้าดูแลตัวเองได้ในแว้บแรก


ถ้าพูดกัน สินค้า ก็ไม่ต่างอะไรกับคนเราหรอกครับ คนเราตัดสินคนอื่นได้ตั้งแต่ 7 วินาทีแรกที่เห็นกัน (Wilson, 2016) ซึ่งแน่นอนว่า เราไม่ใช่ X-Men ที่จะสามารถมองทะลุไปในจิตใจคนอื่นๆได้ครับ 7 วินาทีแรก ทุกอย่างจะหยุดอยู่ในสิ่งที่เห็นเท่านั้น เสื้อผ้า หน้าผม รองเท้า เครื่องประดับ ....ในเรื่องสินค้า ก็เช่นกันครับ บรรจุภัณฑ์ จะเป็นสิ่งแรกๆที่คนดูจะตัดสินใจ ว่ามันคุ้มค่ากับส่วนอื่นๆมั้ย (เช่น ราคา เนื้อหา เรื่องราว ส่วนผสม รสชาติที่น่าจะเป็น) ดังนั้น ไม่ผิดอะไรครับที่เราจะตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้ แต่....อย่าลืมว่า เราต้องขายให้คนซื้อ "ตัดสินใจซื้อ" ดังนั้น ความคุ้มค่าจากสิ่งที่เห็น "แว้บแรก" จึงเป็นตัวชี้ชะตาได้มากครับ ว่าสิ่งนั้นจะขายได้รึเปล่า หรือโดนดราม่ามั้ย ครับผม 

-----------------------------------------------
www.facebook.com/powerpoint100lemgwean
www.presentation-academy-thailand.com
Youtube: powerpoint100lemgwean

presentationacademythailand@gmail.com
powerpoint100lemgwean@gmail.com 



Tuesday, April 14, 2020

ผิดมั้ย? ถ้าไม่มีเรื่องราวใหม่ให้ชีวิตในช่วง COVID - 19


ช่วงนี้ เป็นช่วงที่หลายคนต้องเผชิญบทใหม่ของชีวิตนั่นคือการ Work From Home กันไปยาวๆครับ โดยที่ไม่รู้ได้เลยว่าสถานการณ์จะกลับเป็นปกติเมื่อไหร่ หรือแม้กระทั่งพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร บ้าน/ห้อง ที่ควรจะเป็นที่สุดท้าย เพื่อเอนกายจากความเหนื่อยล้าในออฟฟิศ แต่ในวันนี้ มันไม่ใช่ บ้าน/ห้องที่เราไว้  "พักผ่อน" กลายมาเป็น "ฉาก" ที่เราต้องทำงานกันไปซะแล้ว 

แน่นอนว่า มันอาจจะฟังดูเหมือนสบาย มีเวลาเยอะขึ้น จากที่ต้องเดินทางก็ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องฝ่าฟันรถติด ไม่ต้องเดินฝ่าแดดไปกินกลางวัน ฯลฯ แต่เชื่อเถอะครับ สำหรับใครหลายคนมันไม่ได้สบายขนาดนั้น ด้วยสภาวะจิตใจที่มันไม่ปกติ การที่เราไม่สามารถไป "เจอ" ใครบางคนได้ บางคนบางความสัมพันธ์ต้องเปลี่ยนแปลงไป ความหดหู่ ห่อเหี่ยว เริ่มเข้ามาเกาะกุมจิตใจชนิดที่บอกกับตัวเองว่า ถ้าวันไหนมันกลับมาปกติเดย์ "ทะเล.....-ึงเจอ-ู"  

และในขณะเดียวกัน อาชีพ Life Coach ก็เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่งอกเข้ามาพยายามจะบอกกับพวกเราว่า "เฮ้ย นี่ไง โอกาสมาแล้ว" มีเวลาตั้งเยอะ ทำโน่นทำนี่ได้ตั้งมาก อยากทำเพจก็ทำเลย อยากทำยูทูปก็ทำเลย อยากขายของก็ทำเลย นี่ไง!! ทำเลยเซ่".... และมีประโยคเด็ดที่ Hook ตรงมา ประมาณว่า "ถ้าหลังจากตรงนี้ไปแล้ว คุณไม่มีอะไรใหม่เลย นั่นไม่ใช่เรื่องภาวะวิกฤตินะ แต่เป็นเรื่องของวินัย" 

ผ่าม พาม!!!!!

แล้ว.... เราจะผิดมั้ย?? ถ้าเราไม่มีเรื่องราวอะไรใหม่ให้ชีวิต ในช่วง "ภาวะวิกฤติ" แบบนี้??

มา.. นั่ง ผมจะเล่าให้ฟังด้วยหลักการ "เล่าเรื่อง" ก็แล้วกันครับ 
เราทุกคนต่างเป็นตัวละครในเรื่องราวชีวิตของเรานั่นแหละ เราก็อยู่กันปกติดี แบบที่เรียกว่า Ordinary Day หรือ Ordinary World แล้วอยู่มาวันนึง "เปรี้ยง!!" มันเกิดมี Call-to-Action อันนึงปูดขึ้นมา นั่นคือ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" เอาสิ สมดุลเปลี่ยน ตัวละครตัวเดิมต้องมาสู่ "ฉาก" เดิม (คือบ้าน) แต่กลายเป็น ฟังก์ชั่นใหม่ คือต้องทำงาน 

แต่... เราทุกคนมีความแตกต่างกันด้วยธรรมชาติอยู่แล้วครับ เหมือนตัวละครที่ถูกออกแบบมาให้ต่างกัน โดยถ้าจะแบ่งใหญ่ๆ ก็จะมีอยู่ 2 ค่าย คือ ตัวละครประเภท Introvert คือ โอเค ชอบการไม่ต้องพบปะผู้คน ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขดี รู้สึกได้รับพลังเวลาได้อยู่กับตัวเอง  ในขณะเดียวกันตัวละครประเภท Extrovert จะตรงกันข้ามครับ เราจะหดหู่ อึดอัด รู้สึกเหี่ยวเฉาลงเรื่อยๆ เพราะตัวละครประเภทนี้มักจะได้รับพลังจากการไปพบปะผู้คน เปลี่ยนสถานที่ไป เจอผู้คนใหม่ๆต่างๆ อ่ะ...เอาเป็นว่า ไม่ว่าเราจะเป็นตัวละครแบบไหน เราต้องฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปให้รอดตลอดรอดฝั่ง ซึ่งถ้าเทียบแล้ว ในเรื่องเล่าของเรา เราจะทำหน้าที่เป็น Hero ในเรื่องครับ (ที่ต้องเจอ Villain หรือ (ตัวร้าย)อุปสรรค หมายถึงสถานการณ์นี้แหละครับ) 

ทีนี้... Life Coach เป็นใครในเรื่อง?? 
ถ้าเทียบจากการเล่าเรื่องแล้ว Life Coach ที่พยายามมากระตุ้นเราด้วยคำพูดเหล่านั้น จะทำหน้าที่เป็นบุคคลที่เราเรียกว่า Donor ครับ มักเป็นผู้ฝึกฝน สอน ให้ของวิเศษ ต่างๆ ด้วยความประสงค์ดี เพื่อให้ Hero ต่อสู้ไปให้ชนะจนได้ หรือมีชีวิตรอดไปจนจบเรื่อง (ถ้านึกไม่ออก ลองคิดถึงเรื่อง กังฟูแพนด้าก็ได้ครับ Donor คือ อาจารย์ Shifu นั่นแหละครับ) 


Hero มีสิทธิ์ ปฏิเสธ Donor ได้ครับ!! 


กำลังจะบอกว่า ไม่ใช่ทุกเรื่องครับ ที่ Hero จะพบกับสิ่งที่ตัวเองตามหาจาก Donor ซึ่งส่วนมากก็ไปเจอด้วยตัวเอง แนวทางของตัวเองทั้งนั้น ในวันที่ใช่ สถานที่ที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสมครับ กลับมาที่ความเป็นจริง ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกว่า เวลานี้สบายใจ และเหมาะสมกับการเกิดเรื่องราวใหม่ๆให้ชีวิต  เจ เค โรลลิ่ง ได้ออกมาพูดในประเด็นนี้ ประมาณว่า สำหรับบางคนแล้ว การเพียงแค่ประคับประคองจิตใจตัวเองไม่ให้ห่อเหี่ยว หดหู่ ลงไปเรื่อยๆ ก็นับว่ายากแล้ว หรือแม้กระทั่ง หากจะคิดว่า "การผ่านช่วงนี้ไปได้ ด้วยการมีสติและจิตใจที่เป็นปกติได้ ก็คือเรื่องราวใหม่ในชีวิตแล้ว" ก็ยังได้เลยครับ

ผมคงบอกตรงนี้ว่า "ไม่ผิดหรอกครับ" ถ้าจบช่วงนี้ไปแล้ว คุณจะยังไม่มีเพจ ไม่ได้ขายออนไลน์ ไม่ได้มียูทูป ไม่ได้มีสกิลใหม่เพิ่ม ไม่ผิดอะไรเลยครับ เมื่อสถานการณ์เหมาะสม สภาวะจิตใจที่เหมาะสม บรรยากาศที่เหมาะสม การมีเรื่องราวใหม่ให้ชีวิตก็ค่อยเกิดช่วงนั้นก็ได้ครับ Hero ทุกคน มีเส้นเรื่องเป็นของตัวเองครับ หน้าที่ของเราในเรื่องตอนนี้คือ ประคองจิตใจให้ปกติที่สุด ไปถึงวันที่เรื่องราวคลี่คลาย และจบลงครับ เท่านี้ก็เท่ากับ Hero ชนะ Villain ได้แล้วล่ะครับ :) 

"จงเริ่มเรื่องราวใหม่ ในวันที่ใจคุณอยากเริ่มครับ" 
อย่าเริ่ม เพราะมีใครมาบอกให้คุณเริ่ม ไม่งั้นมันจะเป็นการเริ่มต้นที่คุณไม่มีความสุขเท่าที่ควรครับ 

สู้ๆครับผม ผ่านไปด้วยกันครับ 
-----------------------------------------------

คอนเท้นท์อื่นๆ คลิก
presentationacademythailand@gmail.com
powerpoint100lemgwean@gmail.com